การโจมตีทางไซเบอร์เป็นปัญหาที่ร้ายแรง และรุนแรงต่อองค์กรทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีด้วยไวรัสคอมพิวเตอร์ที่มีความรุนแรงต่อระบบข้อมูลขององค์กร หรือการโจมตีด้วยการแฮกเกอร์ที่มีจุดมุ่งหมายที่จะขโมยข้อมูลสำคัญขององค์กรเพื่อการเอาชนะหรือการขายข้อมูลให้แก่คู่แข่ง การจัดการกับการโจมตีทางไซเบอร์มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง แต่หลังจากการโจมตีเกิดขึ้นแล้ว ขั้นตอนการกู้คืนข้อมูลก็มีความสำคัญไม่น้อยเช่นกัน
นี่คือแนวทางบางอย่างที่สามารถนำมาใช้ในการกู้คืนข้อมูลหลังจากการโจมตีทางไซเบอร์
1.การสำรองข้อมูลอย่างเช่นวางแผนการสำรองข้อมูลแบบเป็นระบบ การสำรองข้อมูลอย่างเป็นระบบช่วยให้องค์กรสามารถกู้คืนข้อมูลได้ในกรณีที่ข้อมูลหลักหายหรือถูกทำลายไป เช่นการสำรองข้อมูลในระบบคลาวด์ หรือการสำรองข้อมูลในระบบที่ตั้งอยู่ภายใน
2.การใช้เทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยสูง เช่นการใช้ระบบความปลอดภัยที่มีการเข้ารหัสข้อมูลอย่างมีความปลอดภัย และการใช้เทคโนโลยีการตรวจจับการบุกรุก (Intrusion Detection System) เพื่อตรวจจับการโจมตีที่เกิดขึ้นและป้องกันการสูญเสียข้อมูล
3.การใช้เทคโนโลยีการกู้คืนข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ เช่นการใช้ซอฟต์แวร์กู้คืนข้อมูลที่สามารถช่วยกู้คืนข้อมูลที่สูญเสียได้ในกรณีฉุกเฉิน
4.การฝึกอบรมพนักงานให้เข้าใจถึงความสำคัญของการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล การฝึกอบรมเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้พนักงานเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการโจมตีทางไซเบอร์และมีการปฏิบัติตามนโยบายความปลอดภัยขององค์กร
5.การทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง เช่น การเข้าใจกฎหมายความเป็นส่วนตัว (Privacy Law) และกฎหมายความเสี่ยงทางไซเบอร์ (Cyber Risk Law) เพื่อป้องกันการกระทำที่ผิดกฎหมายในการกู้คืนข้อมูล
การกู้คืนข้อมูลหลังจากการโจมตีทางไซเบอร์เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องใช้แนวทางที่เหมาะสมเพื่อให้สามารถกู้คืนข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย การเตรียมความพร้อมและการวางแผนก่อนที่จะเกิดการโจมตีจึงมีความสำคัญอย่างมากในการลดความเสี่ยงและความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการโจมตีทางไซเบอร์ในองค์กรใด การปรับใช้และการพัฒนาแนวทางการกู้คืนข้อมูลเป็นสิ่งที่ควรต้องทำให้อย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเต็มที่
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังปฏิวัติอุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ แต่ในขณะที่ AI มีประสิทธิภาพในการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์รูปแบบต่างๆ Shadow AI ก็ได้กลายมาเป็นภัยคุกคามทางไซเบอร์รูปแบบใหม่ที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
Shadow AI คืออะไร
Shadow AI คือการใช้ AI แบบลับๆ เพื่อสร้างและเปิดใช้งานการโจมตีทางไซเบอร์ที่ตรวจจับได้ยาก Shadow AI ใช้เทคนิคต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ เช่น การสุ่มการโจมตี การใช้บอทเน็ต และการใช้เทคนิคการพรางตัว
วิธีที่ Shadow AI ใช้ในการโจมตีทางไซเบอร์
Shadow AI สามารถใช้ในการโจมตีทางไซเบอร์ได้หลายวิธี ยกตัวอย่างเช่น
1.การสแกนและการรวบรวมข้อมูล: Shadow AI สามารถใช้ในการสแกนเครือข่ายและระบบต่างๆ เพื่อค้นหาช่องโหว่ด้านความปลอดภัยและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเป้าหมาย
2.การโจมตีแบบ Denial-of-Service (DoS): Shadow AI สามารถใช้ในการสร้างการโจมตี DoS ขนาดใหญ่เพื่อทำให้บริการออนไลน์ต่างๆ ล่ม
3.การขโมยข้อมูล: Shadow AI สามารถใช้ในการขโมยข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลทางการเงิน…
เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาทาง NIST ออกชุดเอกสาร NIST Cybersecurity Framework (CSF) เวอร์ชั่น 2.0 ซึ่งก่อนหน้านี้เป็น Draft version มานานพอสมควร โดยเป็นกรอบการทำงานสำหรับการวางโครงสร้างองค์กรให้พร้อมรับมือภัยไซเบอร์ โดยเวอร์ชั่นนี้มีการปรับปรุง เพิ่มเติมในหลาย ๆ เรื่อง ยกตัวอย่าง เช่น.
มีการเพิ่มเติมแนวทางปฏิบัติ Cybersecurity ใหม่ ๆ ตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปมีการพูดถึงการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ค่อนข้างชัดเจนขึ้น มีการเพิ่มเติมการรับมือภัยคุกคามใหม่ ๆ ช่วยให้การบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น.
รวมไปถึงการเพิ่มเติมหลักการของ NIST CSF 2.0 โดยจะมี 6 ส่วนหลัก.
Identify – การระบุและเข้าใจถึงบริบทต่างๆ เพื่อการบริหารจัดการความเสี่ยง.
Protect – การวางมาตรฐานควบคุมเพื่อปกป้องระบบขององค์กร.
Detect – การกำหนดขั้นตอนและกระบวนการต่างๆ เพื่อตรวจจับสถานการณ์ที่ผิดปกติ.
Respond – การกำหนดขั้นตอนและกระบวนการต่างๆ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ผิดปกติที่เกิดขึ้น.
Recovery – การกำหนดขั้นตอนและกระบวนการต่างๆ เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง และฟื้นฟูระบบให้กลับคืนมาเหมือนเดิม.…
